อุบัติเหตุจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์โดยไม่สวมหมวกกันน็อคสามารถพบได้ทุกวันในประเทศไทย ด้วยถนนหนทางบางเส้นที่อันตรายรวมถึงการขับขี่บนท้องถนนของผู้ร่วมทาง การสวมหมวกกันน็อคจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งการไม่สวมหมวกกันน็อคระหว่างขับขี่ในประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกด้วย วันนี้เราจึงจะพามารู้จักกับหมวกกันน็อคแต่ละประเภท เพื่อให้คุณเลือกใช้หมวกกันน็อคได้อย่างเหมาะสม และปกป้องคุณจากอันตรายเมื่อเกิดอุบัติเหตุกันครับ
หมวกกันน็อค (Helmet) เป็นอุปกรณ์นิรภัยที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทุกคนต้องรู้จักและขาดไม่ได้ ช่วยป้องกันการกระแทก ป้องกันลม แสงแดด ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และยังเป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนด
แต่บ่อยครั้งที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยไม่ใส่หมวกกันน็อค และไม่ให้ความสำคัญกับหมวกกันน็อคสักเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่อันตรายอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์เกินกว่า 80% ของประเทศไทย
หมวกกันน็อคมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ผลิตจากวัสดุที่หลากหลาย ราคาถูกแพงแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละแบบก็มีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภทหลักๆ ได้แก่
1. หมวกกันน็อคแบบเต็มใบ (Full face) เป็นหมวกกันน็อคที่ปลอดภัยและช่วยป้องกันได้ดีที่สุด สามารถป้องกันได้ทั้งศีรษะ ตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงปลายคาง สามารถใช้กับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สบายมากนัก แต่เป็นหมวกกันน็อคที่ควรค่าแก่การมีไว้ใช้งานเพื่อความปลอดภัย
2. หมวกกันน็อคแบบยกคาง (Modula) คล้ายกับหมวกกันน็อคแบบเต็มใบ เพียงแต่สามารถพับส่วนคางขึ้นมาได้ แต่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก
3. หมวกกันน็อคแบบเปิดหน้า (Open face) เป็นที่นิยมมากที่สุด สวมใส่ได้ง่าย ราคาไม่แพง มีลักษณะคล้ายกับหมวกกันน็อคแบบครึ่งใบ แต่มีกระจกบังลม เหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่ต้องเจอฝุ่นควัน ขับขี่ในชีวิตประจำวันแต่ไม่สามารถป้องกันส่วนคางได้
4. หมวกกันน็อคแบบครึ่งใบ (Half face) สามารถพบได้โดยทั่วไป หาซื้อง่าย สวมใส่ง่าย ได้รับความนิยม แต่มีการป้องกันการกระแทกได้น้อย เรียกว่าแทบจะปกป้องอะไรไม่ได้เลย ไม่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือขับระยะไกล เพราะไม่มีกระจกป้องกันลม
5. หมวกกันน็อคแบบวิบาก (Off-road) เหมาะกับการขับขี่แบบออฟโร้ด ลุยๆตามทางวิบาก โดยหมวกกันน็อคชนิดนี้จะมีบริเวณคางยื่นออกไปมากกว่าแบบอื่น แต่ไม่มีกระจกบังลมมาให้ มีความปลอดภัยสูง
6. หมวกกันน็อคแบบกึ่งวิบาก (Dual-sport) คล้ายกับหมวกกันน็อคแบบวิบาก แต่มีกระจกบังลมมาให้ นิยมใช้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ขับขี่ในระยะทางไกล
หมวกกันน็อคทุกประเภทนั้นมีจุดเด่นจุดด้อยในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม และไม่ว่าคุณจะเลือกใช้หมวกกันน็อคแบบใดสำหรับการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ย่อมดีกว่าไม่ใส่หมวกกันน็อคอย่างแน่นอน
มากไปกว่านั้นคุณควรพิจารณาขนาดที่พอดีกับศีรษะ และความกระชับของหมวกกันน็อคหรือสายรัดใต้คาง โดยทั่วไปแล้วหมวกกันน็อคจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี แตกต่างไปตามวัสดุที่ใช้ผลิต หากเป็นพลาสติกจะเกิดการเสื่อมสภาพ และไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ ซึ่งหมวกกันน็อคที่มีการตกหรือกระแทกจะมีอายุการใช้งานที่น้อยลงอีกด้วย
หมวกกันน็อคที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยนั้นจะต้องเป็นหมวกกันน็อคที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เป็นแบบที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องมีเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อให้ความมั่นใจว่าเป็นหมวกกันน็อคที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยคุณสามารถเลือกใช้หมวกกันน็อคได้ทุกประเภทที่กล่าวมาข้างต้น เพราะตามกฎหมายแล้ว หมวกกันน็อคแบบครึ่งใบ, หมวกกันน็อคแบบเต็มใบปิดหน้า, หรือหมวกกันน็อคแบบเต็มใบเปิดคาง สามารถใช้ได้ทั้งสิ้น แต่ตัวบังลมจะต้องไม่มีสี โปร่งใส และแสงลอดผ่านได้ น้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม มีรูระบายอากาศ และมีช่องฟังเสียง
การเลือกหมวกกันน็อคนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ ไม่ใช่เพียงเพราะรูปทรงที่ทันสมัยหรือความสวยงาม แต่จะต้องเป็นหมวกกันน็อคที่มีคุณภาพ สามารถปกป้องคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนนได้ อีกทั้งยังต้องถูกกฎหมาย และช่วยให้คุณไม่ต้องเสียค่าปรับอีกด้วย