“คาร์บูเรเตอร์” อุปกรณ์จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นมานานนับ 100 ปี นิยมใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึง ณ ตอนนี้ ซึ่งในปัจจุบันก็มี “ระบบหัวฉีด” ที่ทันสมัยกว่าเข้ามารองรับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้เหมือนกับคาร์บูเรเตอร์ สามารถจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำและทั่วถึงทุกส่วน แต่ก็มีหลายคนยังชื่นชอบในการใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นหลัก เพราะกลไกของระบบไม่ซับซ้อน ซ่อมง่าย อะไหล่ทดแทนก็มีให้เลือกเยอะ
หากใครยังลังเลอยู่ว่าจะใช้ระบบแบบไหนดี วันนี้เราจึงอยากหาข้อสรุปให้ว่าระบบหัวฉีดหรือระบบคาร์บูเรเตอร์แบบไหนดีกว่ากัน ระบบไหนเหมาะกับใคร ถ้าอยากรู้แล้วตามมาอ่านกันเลย !
“คาร์บูเรเตอร์” คือ กลไกระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ มีหน้าที่ควบคุมความเร็วของเครื่องยนต์ ด้วยการผสมน้ำมันกับอากาศให้เป็นไอดี จากนั้นจะจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้อย่างเหมาะสม ช่วยให้เครื่องเดินเรียบ สตาร์ทรถได้อย่างไม่มีสะดุด อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ซึ่งคาร์บูเรเตอร์มีการทำงานที่สอดคล้องกับความเร็วของเครื่องยนต์และอาศัยหลักการเกิดสุญญากาศ ในการทำงานของความเร็วรอบเครื่องต่ำ (Low speed circuit) ที่มีความเร็วประมาณ 750 – 800 รอบ / นาที (RPM) ลิ้นปีกผีเสื้อในคาร์บูเรเตอร์จะไม่เปิดกว้างหรืออาจปิด ไม่มีช่องแคบให้เกิดสุญญากาศ ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องไหลผ่านเข็มปรับตั้งเดินเบา (Idle needle valve) ปริมาณน้ำมันและอากาศ (ไอดี) ที่ป้อนเข้าไปในห้องเผาไหม้จึงมีจำนวนน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้เครื่องเดินรอบช้ากว่าปกติ
แต่ในการทำงานของความเร็วรอบเครื่องสูง (High speed circuit) ที่มีความเร็วประมาณ 3,000 รอบ / นาที (RPM) ลิ้นปีกผีเสื้อในคาร์บูเรเตอร์จะเปิดกว้างอย่างเต็มที่ ทำให้มีช่องแคบให้เกิดสุญญากาศ ส่งผลให้น้ำมันที่อยู่ในห้องลูกลอย (Float chamber) ไหลออกมาเจอกับอากาศ โดยห้องลูกลอยที่มีน้ำมันเก็บอยู่จะมีความดันบรรยากาศที่สูงกว่าช่องแคบ และเมื่อน้ำมันกับอากาศต้องไหลผ่านช่องแคบด้วยความเร็วสูง ก็จะก่อให้เกิดฝอยละอองไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ในจำนวนมาก เครื่องยนต์จึงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หมดปัญหาสตาร์ทเครื่องไม่ติด สตาร์ทติดยาก หรือมีกลิ่นน้ำมันคลุ้งเมื่อสตาร์ทรถติด
- มีกลไกการทำงานที่ไม่ซับซ้อน
- ระบบมีความทนทานแข็งแรง
- ซ่อมเองได้ง่าย มีอะไหล่ทดแทนเยอะ
- การติดตั้งและดูแลมีราคาถูก
- ปล่อยสารพิษออกมาในปริมาณที่สูง
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงกว่าระบบหัวฉีด
- ผู้ที่ชินกับระบบดั้งเดิมแบบแมคคานิค (Mechanical) ไม่มีไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง
- ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและดูแลชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์
“หัวฉีด” คือ อุปกรณ์จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไปเข้าไปยังห้องเผาไหม้อย่างเหมาะสม โดยหัวฉีดจะจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกมาเป็นฝอยละอองที่มีความละเอียดสูงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง ภายใต้การควบคุมความแม่นยำของกล่องอิเล็กทรอนิกส์ ECU ช่วยให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงมีความสมบูรณ์แบบมากกว่าระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่งผลให้เครื่องเดินเรียบ สตาร์ทรถได้อย่างไม่มีสะดุด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษควันดำที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
การทำงานของหัวฉีดจะถูกควบคุมด้วยกล่องอิเล็กทรอนิกส์ ECU โดยเมื่อเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ กล่อง ECU จะทำหน้าที่ประมวลผลจากเซ็นเซอร์ตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ไอเสีย ปริมาตรอากาศ หรือลิ้นเร่ง จากนั้นระบบจะสร้างสนามแม่เหล็กผ่านขดลวด เพื่อให้มีแรงยกเข็มหัวฉีดในระยะเวลาที่เหมาะสม และเมื่อเข็มหัวฉีดยกขึ้นจากแรงดันปั๊ม น้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกปล่อยเป็นฝอยละเอียดผสมกับอากาศกลายเป็นไอดีเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ โดยเข็มหัวฉีดจะมีการทำงานที่ปรับให้เหมาะสมกับความเร็วรอบในแต่ละครั้ง ส่งผลให้มีไอเสียออกมาอย่างพอดี ไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
- เผาไหม้เชื้อเพลิงได้หมดจดกว่าคาร์บูเรเตอร์
- จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างละเอียดที่สุด
- ลดควันดำ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
- มีกล่อง ECU ช่วยควบคุมการทำงานได้อย่างสะดวก
- ต้นทุนสูงกว่า ราคาแพง
- กลไกการทำงานซับซ้อนกว่าคาร์บูเรเตอร์
- หากมีปัญหาแค่บางจุด ระบบจะรวนทั้งหมด เพราะเป็นระบบไฟฟ้า
- ผู้ที่ชื่นชอบในการทำงานของระบบไฟฟ้า
- ผู้ที่ต้องการระบบที่เผาไหม้เชื้อเพลิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ใครที่ชื่นชอบในระบบแมคคานิค (Mechanical) ไม่มีไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเลือกใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์เลยครับ กลไกการทำงานจะไม่ซับซ้อน แถมราคาก็ถูก แต่ว่าคาร์บูเรเตอร์จะมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่สู้ระบบหัวฉีดไม่ได้ เพราะต้องกำหนดค่าต่าง ๆ เอาเอง โดยระบบหัวฉีดมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบด้วยมันสมองจากคอมพิวเตอร์อย่างกล่อง ECU แต่กลไกการทำงานของหัวฉีดค่อนข้างซับซ้อน ราคาสูง ถ้าทำพังแค่ส่วนเดียวเล็ก ๆ ระบบจะรวนทั้งหมด เลือกให้เหมาะกับตัวเองและเครื่องยนต์จะดีที่สุด ยิ่งเผาไหม้ได้ดี เครื่องยนต์ก็จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยความห่วงใยจาก 35 ยนตรการครับ
